Integrity Legal - Law Firm in Bangkok | Bangkok Lawyer | Legal Services Thailand Back to
Integrity Legal

Legal Services & Resources 

Up to date legal information pertaining to Thai, American, & International Law.

Contact us: +66 2-266 3698

info@integrity-legal.com

ResourcesVisa & Immigration LawUS Immigration Lawการขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ และ "กำแพงที่มองไม่เห็น" ของรัฐบาล Trump

การขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ และ "กำแพงที่มองไม่เห็น" ของรัฐบาล Trump

Translation of the above video, for original transcript please see: Immigration Reform.

วีดีโอเรื่องนี้จะกล่าวถึงสาระสำคัญในเรื่องการเข้าเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในบริบทที่ผู้ทำงานด้านการเข้าเมืองเรียกว่า  "กำแพงที่มองไม่เห็น" ของประธานาธิบดี Trump

ทุกคนคงทราบดีแล้วเกี่ยวกับความริเริ่มของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องการเพิ่มความมั่นคงตามแนวชายแดนภาคใต้ของสหรัฐฯ แต่สิ่งที่เราจะพูดถึงนี้คือ “กำแพงที่มองไม่เห็น” ที่กำลังจะผงาดขึ้นมา ในกระบวนการบริหารที่ไม่เพียงเฉพาะการวินิจฉัยเกี่ยวกับกระบวนการเข้าเมืองเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงการยื่นใบคำร้องขอวีซ่าในต่างประเทศอีกด้วย

ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยังไม่กระจ่างชัดนัก และค่อนข้างลำบากที่จะชี้เฉพาะลงไปว่าเรากำลังพูดถึงอะไร แต่ดูจากการยื่นคำร้องเข้าเมืองที่ผ่านสำนักงานของเราโดยเฉพาะวีซ่าครอบครัว  “กำแพงที่มองไม่เห็น” ที่ผมกล่าวถึงตรงนี้คืออะไร? ผมคิดว่าไม่ได้มีการวางแผนว่าจะยับยั้งหรือสร้างปัญหาให้ผู้ที่จะขอวีซ่าถาวรอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพื่อเข้าสหรัฐฯ แต่การที่มีการเปิดสำนักงานใหม่คือ สำนักงานเพื่อตรวจวีซ่าแห่งชาติ National Vetting Center (ซึ่งผมเคยทำวีดีโอเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว) และการเปลี่ยนแปลงต่างๆเกี่ยวกับกระบวนการขอวีซ่าชั่วคราวโดยเฉพาะวีซ่านักท่องเที่ยว ซึ่งในอดีตมีการออกคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดี (Presidential Executive Order) ที่ออกมาในรูปของแนวทางการปฏิบัติที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่กงสุลจัดการออกวีซ่านักท่องเที่ยวภายในสองสามสัปดาห์ แต่ Trump เข้ามาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบนั้น ซึ่งเกิดข้อสงสัยว่า Trump ต้องการให้กระบวนการช้าลงหรือ? มันเป็นคำถามที่น่าสนใจมากแต่สิ่งที่อยากจะให้เข้าใจจากวีดีโอเรื่องนี้คือ รัฐบาลชุดนี้จะมองผู้ที่มายื่นคำร้องเพื่อเข้าเมืองด้วยความสงสัยไว้ก่อน หมายความว่าตอนนี้จะเริ่มพิจารณาผู้ที่กำลังผ่านกระบวนการเข้าเมืองด้วยความละเอียดรอบคอบมากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้ว ผมคิดว่ามากกว่ารัฐบาลทุกชุดด้วยซ้ำ ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานเกี่ยวกับคำร้องประเภทนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณกำลังจะยื่นคำร้องเพื่อทำวีซ่า ผมขอเตือนก่อนว่าไม่ต้องแปลกใจหากมีการขอเอกสารเพิ่มเติม อย่างเมื่อเร็วๆนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงกฎบางอย่าง เช่นเจ้าหน้าที่ต้องการดูหลักฐานการเสียภาษี แทนการดูสำเนาใบคืนภาษี เป็นต้น ซึ่งในตอนนี้ เจ้าหน้าที่ต้องการหลักฐานที่มีความละเอียดมากขึ้น และมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม และจะเพิ่มความละเอียดในการพินิจพิเคราะห์หลักฐานเอกสารต่างๆมากขึ้นชนิดที่เรียกว่าตรวจกันถี่ยิบเลยก็ว่าได้  ผมเคยเจอกรณีหนึ่งที่ผู้อุปถัมภ์จะต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเอง รวมทั้งรายได้ทั้งก่อนและหลังการหักภาษี เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจมากขึ้นทั้งในเรื่องแบบใบคำร้อง และกฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ผมต้องการจะบอกคือ ถึงแม้จะไม่พูดว่า “มีกำแพงที่มองไม่เห็น"อยู่  แต่ก็พูดได้ว่า ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นและมองไม่เห็นนั่นแหละ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการขอวีซ่าให้วุ่นวายมากกว่าเดิม เพราะในสมัยก่อน อาจจะมีทัศนคติว่า “ถ้าเอกสารครบ ก็ให้ออกวีซ่าได้เลย” แต่ในสมัยนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นการพยายามหาวิธีที่จะปฎิเสธวีซ่า แต่การเพิ่มระดับความละเอียดในการตรวจเอกสารมากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน 

นอกจากนี้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเห็นว่าอาจจะไม่มี “กำแพงที่มองไม่เห็น” แต่ มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการทำงานของฝ่ายบริหารอย่างแน่นอน ก็คือ ในวันที่ 11 กันยายน 2018 ได้มีการออกหนังสือเวียนที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำการวินิจฉัย สามารถที่จะปฏิเสธการขอวีซ่าได้ทันที ซึ่งต่างกับสมัยก่อนที่เจ้าหน้าที่จะต้องออกเอกสาร “การขอหลักฐานเพิ่มเติม”ก่อนที่จะปฏิเสธวีซ่า ดังนั้นสรุปได้ว่า เป็นการยากที่จะระบุให้แน่ชัดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต  แต่ผมไม่เชื่อว่า กระบวนการเข้าเมืองของสหรัฐฯจะง่ายขึ้น ผมไม่คิดว่าจะมีความพยายามร่วมกัน ที่จะทำให้กระบวนการมีความยุ่งยากมากขึ้น แต่ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีความพยายามร่วมกันที่จะทำให้มันง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมโปรดอ่านที่วีซ่าคู่หมั้น